ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจาก CNET, thumbsup
หลังจากที่มีข่าวลือเรื่องการเปิดช่องรายการที่ต้องจ่ายเงินรายเดือนบน
YouTube ไปเมื่อช่วงต้นปี ตอนนี้ข่าวลือข่าวนี้ก็มีทีท่าจะเป็นไปตามนั้น เมื่อสัญญาณและแหล่งข่าวหลายๆ แห่งพร้อมใจมาโหมกระแสเรื่องนี้โดยเป็นไปในทางทิศเดียวกันอย่างชัดเจน แถมยังพร้อมในบริการภายในสัปดาห์นี้ (สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม 2556)
อย่างที่ผมเคยเขียนข่าวถึงเรื่องเกียวกับการเปิดบริการใหม่ของทาง YouTube เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับ Google นอกจากการทำโฆษณาในรูปแบบ ad-supported ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมาว่าจะมีการเปิดบริการในช่วงกลางปีนี้ ตอนนี้หลายแหล่งข่าวไม่ว่าจะเป็น Financial Times, หนังสือพิมพ์ Sunday หรือแม้แต่ทางโฆษกของทาง YouTube เองก็ยังออกมายืนยันด้วยตัวเองกับบริการใหม่นี้ จะเหลือแต่รอเวลาเปิดอย่างเป็นทางการเพียงเท่านั้น
ส่วนแหล่งข่าวของทาง Sunday พูดถึงจำนวนช่องและค่าบริการที่จะให้บริการในช่วงเปิดตัว โดยจะมีให้เลือกมากถึง 50 ช่อง และมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1.99 เหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 60 บาท) ต่อเดือน ต่อช่อง ซึ่งถือว่าเป็นราคาไม่แพงมากเลยสำหรับการชมต่อเดือน
สิ่งที่สามารถยืนยันได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นจริงเกือบ 100% ก็คือทางโฆษกของ YouTube นั้นพูดถึงเรื่องนี้โดยไม่มีการปฏิเสธแต่อย่างใด แต่ยังไม่ยอมเปิดปากพูดถึงวันที่ในการเปิดให้บริการจริง โดยบอกแต่เพียงว่าในช่วงนี้เป็นการสำรวจช่องทางที่จะช่วยสร้างให้แพล็ตฟอร์มหรือรูปแบบในการบอกรับสมาชิก (Subscription) สามารถที่จะนำเอาข้อมูลต่างๆ ที่อยู่บน YouTube ไปนำเสนอ สามารถทำเงินให้กับผู้ที่สร้างช่องวิดิโอเหล่านั้น นอกเหนือจากช่องทางทำเงินที่ได้จากการเปิดเช่า (บริการที่สหรัฐฯ เท่านั้น) และในรูปแบบโฆษณาบนวิดิโอ (ทั้งแบบ 5 วินาที และแบนเนอร์)
แม้ว่ายังไม่มีการระบุการวันเวลาที่จะให้บริการจริง แต่สัญญาณการเปิดตัวคงมีไม่เกินสัปดาห์นี้อย่างแน่นอน และอีกประเด็นก็คือเรื่องค่าบริการที่ถูกมาก ซึ่งก็เท่ากับว่า YouTube ยอมลดราคาให้ถูกๆ เพื่อเรียกคนให้เข้ามาดูเยอะๆ แน่นอนว่ามันย่อมจะดีกว่าเก็บแพงๆ แต่คนไม่ค่อยมี
สำหรับประเทศไทย ในแง่ของการให้บริการมีสิทธิ์ที่น่าจะได้ใช้งานพร้อมๆ กับสหรัฐฯ และคนทั่วโลกเพราะรูปแบบการทำก็เหมือนกับการกด subscription ตาม Channel ต่างๆ ครับ และผมก็เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ยอมจ่ายเงินเพื่อชมหาก content หรือรายการนั้นน่าสนใจและ exclusive จริง
การเคลื่อนไหวนี้น่าสนใจว่าทาง Apple จะเปิดตัวบริการมาสู้บ้างไหมนะ…
